
ประสาทหลอนมาก เดอะ วูแมน อิน เดอะ วินโดว์ ส่องปมมรณะ เล่าของดร.แอนนา ฟ็อกซ์ (สวมบทบาทโดยเอมี่ อดัมส์)
ประสาทหลอนมาก ผู้ถูกใจแยกตัวออกจากสังคมในมหานครนิวยอร์ค กิจวัตรที่ทำเป็นประจำของเธอเป็นการดื่มผ่านวันข้ามคืน ดูหนังคลาสสิกและก็สอดส่องความเป็นไปของเพื่อนบ้าน เมื่อครอบครัวรัสเซลล์ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใกล้ ๆ เธอ
แอนนาได้มองเห็นครอบครัวในอุดมคติที่เธอใฝ่ฝันและก็เริ่มติดตามชีวิตประจำวันของพวกเขา จนถึงเธอได้เจอกับเหตุอะไรบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปชั่วกับชั่วกัลป์ อีกหนึ่งหนังโรงติดปัญหาโควิดกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นหนัง ออริจินัล เน็ตฟลิกซ์ ไปโดยปริยาย
ซึ่งหัวข้อนี้แทบเข้าฉายในไทยตามเดิมวันที่ 13 พ.ค. 2020 นับว่าเป็นหนังที่มองน่าจับตาเมื่อโฆษณารวมดารามีชื่อเนืองแน่นอย่าง เอมี่ อดัมส์, จูลี่แอนน์ มัวร์, แกรี่ โอลแมน, แอนโทนี แมกกี (ที่รับบทบาทฟอลคอนของมาร์เวล) และก็ดูแลโดยโจ ไรต์ (ผู้กำกับ ชั่วโมงพลิกโลก, ตราบาปลิขิตรัก) แล้วก็ดัดแปลงแก้ไขบทโดยเทรซี่ เลทท์ (คนเขียนบทเลดี้ เบิร์ด)
ซึ่งแต่ละคนก็ส่งผลงานที่รับรองก้าวหน้าเลยว่าหนังหัวข้อนี้จำต้องไม่ไก่กา มีดีอะไรมากแอบซ่อนไว้อยู่แน่ ๆ แต่ว่าข้างหลังรับดูจำต้องบอกเลยว่านี่เป็นงานที่พาให้ผู้ชมผิดหวังเยอะพอสมควรเมื่อเทียบกับเครดิตดี ๆ ที่ประชาสัมพันธ์มา
หนังสร้างโดยปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงจากนิยายในชื่อเดียวกันของ เอ. เจ. ฟินน์ ได้ผลงานเปิดตัวของผู้เขียน ติดอันดับขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าของนิวยอร์คไทม์ ซึ่งจริง ๆ ตัวนิยายบางครั้งอาจจะดี แม้กระนั้นพอเพียงมาดัดแปลงเป็นหนังหลายเรื่องก็เลยห่วยแตกลงอย่างที่มองเห็นกันเป็นประจำประเด็นนี้มีเค้าเรื่องมิได้สดใหม่อะไร ข่าวหนัง มาร์เวล
เนื่องจากว่าเค้าเรื่องแนวข้างบ้านแอบมองเห็นคดีการฆ่าสังหารลึกลับมีหลายเรื่องแล้ว แม้กระนั้นประเด็นนี้ความน่าดึงดูดใจเป็นนางเอกเป็นแพทย์จิตวิทยาเด็กที่ป่วยเป็นโรคทางจิตซะเอง
โดยเรื่องเปิดมาแบบไม่มีบอกที่มา พวกเราจะได้มองเห็นเพียงว่านางเอกมีแพทย์จิตวิทยาเป็นที่ปรึกษาอยู่เสมอเรื่อง โรคของนางเอกเป็นอาการกลัวการอยู่กับคนกลุ่มมากมาย ไม่กล้าออกไปข้างนอกบ้าน ซึ่งจุดนี้เองเป็นไม่เหมือนกันของเรื่องในแนวเดียวกัน เมื่อนางเอกอยู่ติดบ้านก็เลยเปลี่ยนเป็นพวกถูกใจส่องมองความเป็นของบ้านฝั่งตรงข้ามเป็นประจำ
ประสาทหลอนมาก แม้กระนั้นเรื่องมิได้เป็นแถวแอบมองความเป็นไปธรรมดา
ประสาทหลอนมาก เปลี่ยนเป็นภาพต่าง ๆ ที่นางเอกมองเห็นหลายครากลับถูกพรีเซ็นท์ในครึ่งหนึ่งประสาทหลอนเสมือนนางเอกคิดไปเอง หรือกล้วย ๆ ก็คือใกล้บ้านั่นล่ะครับผม เพราะว่านางเอกเองก็ดื่มเหล้าพร้อมยาที่แพทย์ให้มาตลอด เป็นผู้ติดสุรารับประทานแทนน้ำ วัน ๆ หมกตัวในห้องไฟสลัว ๆ ไม่ไปไหน
ซึ่งในชั่วโมงแรกของเรื่องวนเวียนอยู่กับภาพนางเอกมีความเห็นว่ามีการการฆ่าสังหาร ภายหลังจากเจอกับเมียของเพื่อนบ้านที่ย้ายมาใหม่กับลูกชายวัย 15 ที่ดูเหมือนกับว่ากลัวบิดาจนกระทั่งไม่กล้าพูดบอกกล่าวปัญหาในครอบครัวที่เกิดขึ้น ตัวหนังใช้ภาพหลอนหลอนซ้อนกับเรื่องราวแทบตลอดระยะเวลา พร้อมทั้งการที่นักแสดงในเรื่องบุคคลอื่นไม่เชื่อหรือบอกหัวข้อต่างกับนางเอกหมด
ต่อด้วยการเฉลยคำตอบความลับอาการทางจิตใจของนางเอกว่ามีที่มาจากไหน เพื่อซ้ำเติมแนวทางประสาทหลอนของเรื่องหลอกผู้ชม แต่ว่าเชื่อเลยว่าผู้ชมเกือบจะทุกคนไม่น่าจะโดนหลอกได้ เนื่องจากว่าหนังแนวอย่างนี้เป็นปกติอยู่แล้วที่จะมานะสับขาหลอกให้ผู้ชมเชื่อในทีแรก ๆ ก่อนกลับหักมุมกันในหลังจากนั้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่หนังจึงควรปฏิบัติภารกิจชี้แจงให้สมเหตุผล ให้ผู้ชมเชื่อให้ได้ว่าเรื่องมันกลับมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรมากยิ่งกว่า
ในตอนกลับเรื่องเป็นข้างหลังครบชั่วโมงเต็ม ๆ พวกเราจะได้มีความคิดเห็นว่าสิ่งนางเอกมองเห็นพร้อมด้วยผู้ชมมีอะไรรับรองได้มากกว่าเพียงแค่คำกล่าว แต่ว่าเป็นการเฉลยคำตอบแบบใส่มาตรง ๆ เผยกันกล้วย ๆ ไม่มีเชิงชั้นอะไรเลย กับเปลี่ยนแปลงแนวเป็นไล่เฉือนกันโดยทันที ซึ่งหลาย ๆ คนบางครั้งก็อาจจะตามเหตุผลที่หนังชี้แจงไม่ทันเลยก็ได้
ส่วนตัวมีความคิดว่าหนังตั้งอกตั้งใจหักมุมตัวคนร้ายกระทั่งเกินความจำเป็น จนถึงทำให้เหตุผลที่ชี้แจงมารัว ๆ มองไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นได้ แถมเรื่องเดี๋ยวนี้แทนที่จะพีคกลายเป็นการไล่ล่าที่คาดคะเนได้ว่าจะจบอย่างไร เนื่องจากว่ามีฉากปูที่ตายของคนร้ายรอคอยไว้ตั้งแต่กึ่งกลางเรื่องแล้ว ทั้งยังมีตัวละครตายทึ่ม ๆ แถมมาให้เรื่องมองตลกโปกฮาเข้าไปอีก ก็เลยแปลงเป็นฉากจบที่จืดชืด ๆ
อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีความเหี้ยมโหดอำมหิตเข้ามาบางส่วนให้เพียงพอรู้สึกระทึกได้บ้าง แต่ว่าก็ไม่ใช่ฉากจบที่น่าจำอะไรเลย สิ่งที่ห่วยของเรื่องเป็นการใช้ดาราดังมาเล่นบทต่าง ๆ ที่โผล่มานิด ๆ หน่อย ๆ ประกอบเรื่องเพียงแค่นั้น
ทำให้ผู้ชมที่คาดหวังว่าดาราระดับนี้มาเล่น บางครั้งก็อาจจะเป็นบทที่สำคัญกับเรื่องราว มีเวลาให้ออกมาหลายฉาก แม้กระนั้นไม่เลย อีกทั้ง จูลี่แอนน์ มัวร์, แกรี่ โอลแมน, แอนโทนี แมกกี เปลี่ยนมาเป็นเพียงแค่จุดขายจากหน้าหนังที่ใส่มาเพื่อหลอกคนให้รู้เรื่องแบบงั้น ก็บางครั้งก็อาจจะสำเร็จนิด ๆ
เนื่องจากว่าคนเขียนเองพอเพียงมองเห็นดารากลุ่มนี้ในเรื่องก็เผลอรู้สึกว่าอาจจะมีบทสำคัญ แม้กระนั้นท้ายที่สุดเปลี่ยนเป็นการหลอกลวงผู้ชมมากยิ่งกว่า เวลาอีกทั้งเรื่องเป็นหมดกับอาการประสาทหลอนครึ่งหนึ่งบ้าครึ่งเมาของนางเอก ว่าเรื่องของศรัทธา
ซึ่งจริง ๆ นี่ก็คือหัวข้อหลักของหนังประเด็นนี้ ตัวการฆาตกรรมเรียกว่าเป็นพล็อตรองซะมากยิ่งกว่านะครับ ซึ่งตัวเอมี่ อดัม เองก็แสดงได้โอเคไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ว่าบทมันก็มิได้ทำให้ผู้ชมรู้สึกอินอะไรมากมาย เนื่องจากฉากต่าง ๆ ที่ผู้ชมมองเห็นเปลี่ยนเป็นครึ่งหนึ่งประสาทหลอนมากยิ่งกว่าการถ่ายทอดอารมณ์จากตัวดาราจริง ๆ
นับว่าเป็นหนังโรงที่มาลงเน็ตฟลิกซ์แบบกระปรี้กระเปร่าที่ไม่เสียตังไปดูโรง เพราะว่าตัวเรื่องก็พื้น ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แม้กระนั้นถ้าหากคนใดกันแน่ถูกใจแนวทริลเลอร์ตื่นเต้นแบบไม่สนใจความสดใหม่ก็ไม่มีปัญหา จัดว่ามองได้มีแอบหาวจากตอนยืดยาวชั่วโมงแรกเพียงแค่นั้น
เมื่อแอนนาเริ่มรู้สึกได้ว่าบ้านฝั่งตรงข้ามคงจะมีปัญหาทะเลาะ
อีธานเริ่มใช้กำลังในครอบครัว เธอก็เลยเพียรพยายามตามส่องความประพฤติของบ้านฝั่งตรงข้าม วันหนึ่งเจน (จูลีแอนน์ มัวร์) ได้ผ่านมาคุยกับแอนที่นาอย่างถูกชะตา ทั้งคู่ดูเหมือนจะสนิทกันอย่างเร็ว แม้กระนั้นไม่นานนักเธอกลับไปอยู่ที่บ้านไป
ยามดึกดื่นวันหนึ่งเมื่อแอนนามองผ่านหน้าต่าง เธอพบว่าได้เกิดเหตุการสังหารกับเจน แม้กระนั้นเมื่อเธอโทรแจ้งตำรวจ กลับไม่เจอหลักฐานว่าเกิดเหตุการฆาตกรรมที่บ้านตรงกันข้าม หนำซ้ำเจน (เจนิเฟอร์ เจสัน ลีห์)
เมียตัวจริงของอาลิสแตร์รับรองว่าเธอไม่เคยเจอกับเธอ ด้วยอาการที่น่าสงสัยของตัวแอนนาเอง ก็เลยทำให้ผู้ชมได้แม้กระนั้นอนุมานว่าความประพฤติปฏิบัติที่เกิดขึ้นอยู่กับแอนนาน่าจะเป็นอาการจิตหลอน
ถึงแม้หนังจะได้อิทธิพลจากผลงานในระดับตำนานของอัลเฟรด ได้รับความนิยมช์ค็อกเรื่อง หน้าต่างชีวิต (1954) มาแบบเต็ม ๆ ที่ว่าด้วยคนถ่ายภาพชายหนุ่มขาหักที่แก้เบื่อด้วยเหตุว่าจำต้องติดอยู่ในอพาร์ตเมนต์ด้วยการเอากล้องที่เอาไว้ส่องทางไกลแอบส่องเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม
จนถึงวันหนึ่งบ้านที่เขากำลังแอบดูคงจะเกิดเหตุการฆ่าสังหารขึ้นก่อนส่งผลให้เกิดความตื่นเต้นสุดขีด โชคร้ายที่เดอะ แมน อินเดอะวินโดว์ เพียรพยายามเอากรรมวิธีการแบบใน หน้าต่างชีวิต มาใช้และพ่วงสไตล์การควบคุมภาพยนตร์แบบละครเวที
แม้กระนั้นโชคร้ายที่เชิงชั้นของหนังหัวข้อนี้กลับไม่มีอะไรน่าดึงดูด คาดคะเนได้ง่าย ผู้ชมเคยผ่านตามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนกว่าตอนสองทศวรรษก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้นการออกแบบงานสร้างที่มองเริ่ด
การจัดแสงสว่างที่สวยงาม หรือกรรมวิธีบอกใบ้ร่องรอยตลอดทาง แปลงเป็นแนวทางคิดแบบชั้นเดี่ยวที่ผู้ชมร้องอ๋อได้โดยทันทีว่าผู้กำกับควรต้องการติดต่อสื่อสารอะไรกับผู้ชม ยิ่งทำให้ “กลโกง” ของหนังมองแห้งเพิ่มมากขึ้น